จะต้องทำสงครามก่อนเพื่อมีสันติภาพภายหลังอย่างนั้นหรือ

ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความรักและห่วงใยประเทศชาติเช่นเดียวกับคนไทยทุกคน ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองมีความสงบ ผู้คนตกลงกันด้วยเหตุด้วยผล อยู่กันด้วยความแตกต่าง โดยไม่แตกแยกกัน ไม่ใช้กำลังในการตัดสินปัญหา ซึ่งดูเหมือนว่า สถานการณ์ในทางสังคมและการเมืองของประเทศเราทุกวันนี้ เป็นไปได้ยากที่จะตกลงกันด้วยเหตุผลและสันติวิธี

คนไทยตั้งหน้าตั้งตาใช้ความคิดที่แตกต่าง สร้างกำแพงปิดกั้นฝ่ายอื่นไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตความคิดของตน ขณะเดียวกันก็พยายามใช้ความแตกต่าง สร้างภาพอีกฝ่ายเป็นศัตรู ไม่เพียงแต่เฉพาะศัตรูตนเองเท่านั้น แต่เป็นศัตรูของชาติด้วย

เมื่อต่างฝ่ายต่างสร้างอีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูของชาติ และแต่งตั้งตนเป็นผู้พิทักษ์รักษาชาติ การแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองมีความชอบธรรมที่จะกำจัดศัตรูของชาติให้สิ้นซาก

เราไม่มีทางที่จะตกลงกันด้วยเหตุผลและสันติวิธีแล้วหรือ?

สังคมไทยกำลังยึดถือการตัดสินกันด้วยกำลังหรืออย่างไร หรือว่าจะใช้วิถีแห่งสงครามตัดสินปัญหา นั่นคือ “ทำสงครามก่อน แล้วสันติภาพจะตามมา” ใช่ไหม?

ในประวัติศาสตร์การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมา 76 ปีนั้น เราทำสงครามกันเองกี่หน ใช้ความรุนแรงกี่ครั้ง ล้มตายกันกี่ชีวิต ล่าสุดเมื่อ วันที่ 19 กันยายน 2549 ก็ปรากฏชัดแล้วว่า การใช้กำลังตัดสินปัญหา ไม่สามารถสร้างอะไรให้งอกเงยขึ้นมาได้ ดังนั้นการทำสงครามกันก่อน จึงไม่มีสันติภาพที่แท้จริงเกิดขึ้นตามมาเลย มีแต่ความขัดแย้งที่คุกรุ่น รอวันจะระเบิดเป็นสงครามอีก

ผมในฐานะคนไทยคนหนึ่ง มีความรักชาติบ้านเมืองไม่ต่างจากท่านทั้งหลาย ขอแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจากฝ่ายใด เพื่อวัตถุประสงค์ใด และขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายที่มีความขัดแย้งกันอยู่ ได้ตัดสินปัญหาด้วยสันติวิธี และขอร้องประชาชนไทยทั้งหลาย อย่าได้ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ในการใช้ความรุนแรงต่อคนไทยด้วยกัน

ผมก็เป็นเช่นเดียวกับคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่แม้ในระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ผมจะไม่เห็นด้วยและต่อต้านการกระทำของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและคณะรัฐมนตรีที่นำโดยนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่นั่นเป็นเพราะการบริหารราชการแผ่นดินที่เต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมของรัฐบาล หาใช่ด้วยความเกลียดชังเป็นการส่วนตัวต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ และการที่ผมเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในครั้งนั้น ก็เป็นเพราะการกระทำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หาใช่เพราะจงรักภักดีหรือเป็นสาวกของผู้นำกลุ่มพันธมิตรฯคนใดคนหนึ่งหรือทั้งหมดไม่

การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็เช่นกัน แม้ผมและคนไทยจำนวนมากจะแสดงท่าทียอมรับว่ามีความจำเป็นที่จะต้องทำรัฐประหาร ก็เพราะเชื่อว่าจะสามารถยุติการใช้ความรุนแรงต่อกันของประชาชนไทย และจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทางการเมืองให้ลุล่วงไปได้ แต่ไม่ใช่เพราะเห็นด้วยกับการใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลทุกกรณี และผลที่ตามมาจากการรัฐประหารนั้น ผมและคนไทยเป็นจำนวนมากก็ได้เห็นกับตาตนเองแล้วว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะปัญหาที่ถูกกดทับไว้นั้น ได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ดังที่ปรากฏในทุกวันนี้ และคนไทยก็มีท่าทีกระเหี้ยนกระหือรือที่จะใช้กำลังต่อกัน

ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่ไม่อำนาจใดๆเกินกว่าสิทธิและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ผมขอแสดงจุดยืนคัดค้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงในการชุมนุมประท้วง ความรุนแรงในการปราบปรามชุมนุมประท้วง การใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลโดยการปฏิวัติรัฐประหาร และขอวิงวอนให้คนไทยทุกคนโปรดใช้สันติวิธีในการตัดสินปัญหา แม้จะใช้เวลายาวนานเพียงใดก็ตาม

ผมขอเชิญชวนคนไทยทุกคนในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศและในฐานะปัจเจกชนที่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ ได้แสดงจุดยืนต่อต้านการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ผ่านช่องทางที่สามารถทำได้ ถึงแม้ไม่สามารถจะยับยั้งเหตุการณ์นั้นได้ แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า ยังมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่เห็นชอบและไม่สนับสนุนต่อการใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา

เพราะไม่ว่ากรณีใดๆ เราไม่มีทางที่จะสร้างสันติภาพด้วยการทำสงครามกันก่อน สันติภาพที่ได้มาหละงสงครามนั้น ย่อมไม่ใช่สันติภาพที่แท้จริง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราคนไทย จะยังต้องทำสงครามกันก่อนเพื่อให้มีสันติภาพภายหลังอย่างนั้นหรือ?

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๑

***

Media Talk Blog ย้ายเข้าบ้านตัวเองที่ http://citizenjournal.kosolnet.com ขอเชิญไปเยี่ยมเยือนด้วยครับ ขอบคุณครับ

ใส่ความเห็น